วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มาออกกำลังกายกันเถอะ

การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่เริ่มต้นไม่ยากและเมื่อเริ่มลงมือปฏิบัติก็มีผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเป็นการลงทุนที่หาซื้อไม่ได้ แต่ต้องเริ่มต้นสะสมด้วยตนเอง ผลดีของการออกกำลังกาย ได้แก่


ผลดีต่อระบบการเคลื่อนไหว การออกกำลังกายจะทำให้ทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนไขกระดูกแข็งแรงและทำงานได้ดี จึงส่งผลให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและทรงพลัง
ผลดีต่อหัวใจ การออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้มากขึ้น
ผลดีต่อเส้นโลหิต การออกกำลังกายทำให้เส้นโลหิตยืดหยุ่น ไม่เปราะง่าย มีไขมันน้อย ลดโอกาสการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ผลดีต่ออัตราการเต้นของชีพจร การออกกำลังกายจะส่งผลให้ปริมาณแร่ธาตุที่สำคัญในแง่ของสารอาหารเพิ่มขึ้น ช่วยลดปริมาณของกรดแลกติกได้ดี ทำให้เกิดอาการเหนื่อยช้าลง
ผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร การออกกำลังกายมีส่วนทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น โลหิตไหลไปสู่ตับได้มากขึ้น ดังนั้นท้องจึงไม่ผูก
ผลดีต่อการทำงานประสานสัมพันธ์กันระหว่างประสาทและกล้ามเนื้อ  ในการเคลื่อนไหวร่างกายประสาทสั่งการกับกล้ามเนื้อจะต้องทำงานประสานกันหากประสาทสั่งการแต่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงก็จะทำงานไม่ได้ ในทางกลับกันหากกล้ามเนื้อแข็งแรงแต่ประสาทไม่สั่งการก็จะไม่มีการเคลื่อนไหว การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ยังส่งผลดีต่อระบบประสาทด้วย
ผลดีต่อน้ำหนักตัว หลังจากอายุ 25 ปี อวัยวะร่างกายของคนเราจะเริ่มเสื่อม คนส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากไขมันสะสม การออกกำลังกายมีผลช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆขณะเดียวกันก็ช่วยให้เกิดการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน จึงช่วยลดน้ำหนักตัวได้ผลดี

หลักในการออกกำลังกาย
1. ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3วัน
2. ออกกำลังกายครั้งละ 15 - 30 นาที
3. ออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าหักโหม
4. ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายและผ่อนคลาย
ก่อนเริ่มออกกำลังกาย
5. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย
6. ออกกำลังกายที่ให้ความสนุกสนาน
7. แต่งกายให้เหมาะสมกับชนิดของการออกกำลังกาย
8. ออกกำลังกายในสถานที่ปลอดภัย
9. ควรออกกำลังกายหลากหลายชนิด
10. ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว ต้องตรวจสุขภาพก่อนออกกำลังกาย


วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภูมิปัญญาไทย

ภูมิปัญญาไทยหมายถึง / ยกตัวอย่าง 
ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านมากระบวนการเรียนรู้  เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนาและถ่ายทอดสืบกันมา เพื่อใช้แก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย
ภูมิปัญญาไทย มีลักษณะเป็นองค์รวมและมีคุณค่าทางวัฒนธรรม เกิดขึ้นในวิถีชีวิตไทย ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นอาจเป็นที่มาขององค์ความรู้ที่งอกงมขึ้นใหม่ที่จะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหาการจัดการและการปรับตัวในการดำเนินวิถีชีวิตของคนไทย ลักษณะองค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้าน  เช่น   ๑.เกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองในภาวการณ์ต่างๆ ได้     ๒. อุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลิตผล เพื่อชะลอการนำเข้าตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้   ๓. การแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้    ๔. ศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นต้น    ๕ . ภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกับด้านภาษาทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทยและการใช้ภาษา ตลอดทั้ง ด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทำสารานุกรมภาษาถิ่น การปริวรรต หนังสือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่างๆ เป็นต้น

ภูมิปัญญาไทยกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
ท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นล้วนมีเอกลักษณ์  วิธีชีวิต  ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันไปต่างแต่ละท้องถิ่นนั้นๆจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านมากระบวนการเรียนรู้  เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนาและถ่ายทอดสืบกันมา เพื่อใช้บรรเทารักษาโรค  และเพื่อช่วยเหลืออาการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนในท้องถิ่น  โดยที่คนในท้องถิ่นเป็นผู้คิดค้นขึ้นและถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบมา  เช่น  การนวดแผนไทย และ การประคบสมุนไพร   เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย  เป็นต้น

การแพทย์แผนไทยกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค /ยกตัวอย่าง
1.การอบสมุนไพร เป็นวิธีการบำบัด และบรรเทาอาการของโรคของการแพทย์แผนไทย   โรคหรืออาการที่สามารถบำบัดรักษาได้ด้วยการอบสมุนไพร มีดังนี้   โรคภูมิแพ้ที่ไม่รุนแรง ความดันโลหิตสูง     เป็นหวัดเรื้อรัง   อัมพฤกษ์ - อัมพาต   ในระยะเริ่มแรก ปวดเมื่อยตามร่างกายทั่วๆ ไป     กรณีที่มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดร่วมด้วย
ไม่ควรทำการอบสมุนไพร
  
 2.การประคบสมุนไพร เป็นวิธีการบำบัดรักษาของการแพทย์แผนไทยซึ่งสามารถนำไปใช้ควบคู่กับการนวดไทย โดยการประคบหลังจากการนวดไทย ประโยชน์ของการประคบสมุนไพร บรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือบริเวณข้อต่อต่างๆ ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยกระตุ้นหรือเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ช่วยให้เนื้อเยื่อพังผืดคลายตัว ลดการติดขัดของข้อต่อบริเวณที่ประคบ
                                                                                                                                                            
3. เวชกรรมไทย เป็นการทำหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยโรค เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคตามทฤษฎีและหลักการของการแพทย์แผนไทย จากนั้นให้การรักษาตามกรรมวิธีของการแพทย์แผนไทย ซึ่งส่วนใหญ่ มักให้การรักษาด้วยยาแผนไทย หรือยาสมุนไพร

                4. เภสัชกรรมไทย เป็นการเตรียมยา และ/หรือผลิตยาแผนไทย ซึ่งมีกรรมวิธีในการเตรียมยาทั้งหมด 28 วิธี อาทิ เช่น การเตรียมยาผง ยานัตถุ์ ยาลูกกลอน ยาเม็ดแคปซูล เป็นต้น

                5. ผดุงครรภ์ไทย เป็นการทำหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของมารดาและเด็กในหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อน คลอดและหลังคลอด ในสมัยก่อนจะต้องทำคลอดให้กับหญิงตั้งครรภ์ด้วย แต่ในปัจจุบันนี้ บทบาทหน้าที่ในการทำคลอดมีน้อยลง แต่เน้นในการดูแลสุขภาพของหญิงหลังคลอดมากขึ้น